ป้ายกำกับ
Actors, พอล วอล์กเกอร์, ริชาร์ด อาร์มิเทจ, Fast and Furious 7, In memory of, Paul Walker, Richard Armitage
วันนี้จะขอนอกเรื่องเล็กน้อยนะคะ พักยกจากคุณ Richard กันเสียหน่อย คาดว่า ณ ตอนนี้คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อของ Paul Walker… โดยเฉพาะในเมื่อภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่เขาเล่นอย่าง Fast & Furious 7 เพิ่งเข้าฉายในเมืองไทยไป รวมไปถึงกระแสก่อนหน้านี้ที่ศาลสั่งงดฉายหนังเรื่องดังกล่าวชั่วคราวเพราะทางสหมงคลฟิลม์ยื่นฟ้องกรณีที่จา พนมไปรับบทนักแสดงสมบทในหนังเรื่องนี้ทั้งๆที่ติดสัญญากับทางค่ายอยู่ ถ้าจำไม่ผิดกระแสทางทั้งโลกโซเชียลกับพันทิปนี้ถึงกับประกาศกล่าวจะคว่ำบาตรไม่ดูสมเด็จพระนเรศวรหรือสินค้าหรือบริษัทเครือเดียวกับสหมงคลฟิลม์กันเลยทีเดียวเพราะการเดินหมากครั้งนี้ของเสี่ยเจี่ยง แน่นอนว่า สุดท้ายแม้ Fast & Furious 7 จะได้ฉาย บางคนก็ยังดึงดันในความคิดเดิมว่าจะขอเผาผีและไม่ยุ่งเกี่ยวกับค่ายหนังหรือบริษัทนี้อีกต่อไป…
สื่อต่างชาติเองก็มีเล่นข่าวนี้กันเหมือนกันนะคะ จำได้ว่าตอนนั้นถึงกับมีสมาชิกในพันทิปออกตัวกันเลยทีเดียวว่า ชาวบ้านทั่วโลกมีสิทธิได้ดูและไว้อาลัยPaul กับผลงานชิ้นสุดท้าย ยกเว้นประเทศสารขันธ์บางประเทศเนี่ยแหละ
(x)
อันที่จริงก่อนหน้าโศกนาฎกรรมในปี 2013 ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เคยได้ยินชื่อของ Paul Walker มาก่อนนะคะ เราไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของเขา แต่เราก็คุ้นเคยกับผลงานการแสดงของเขามาพอสมควร หรืออาจจะเรียกได้ว่า เราเองก็โตมากับหนังของเขาแหละค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Tommy and the T-rex (โครงเรื่องของหนังเรื่องนี้ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำเราอย่างไม่ลืมเลือนรวมถึงพระเอกด้วย แต่ก็เพิ่งหลังจากเสียชีวิตแหละค่ะ เราถึงมารู้ว่าหนังเรื่องนี้ชื่ออะไร หรือใครเป็นนักแสดงนำ), She’s all that, Fast & Furious Franchise, Into the Blue หรือ Eight Below เอาเป็นว่า เราจำชื่อและหน้าของ Paul ได้ก็แล้วกันค่ะ
แต่ถึงแม้ไม่ใช่แฟนเดนตายอะไรของผู้ชายคนนี้ วันที่เราได้ยินข่าวคราวของเขาเมื่อ 2 ปีก่อน… สิ่งแรกที่เรารู้สึกได้คือ ช็อค เราไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง แน่นอนว่ากลไกของจิตใจเราย่อมปฏิเสธความจริงในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าภายในใจเราก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้วก็ตาม จนกระทั่งแหล่งข่าวทั้งหลายออกมายืนยันนั่นแหละค่ะ เราถึงร้องไห้ ปฏิกริยาของเราที่มีต่อการจากไปของผู้ชายคนนี้จะเป็นสิ่งหนึ่งที่เราไม่มีวันเข้าใจตัวเองเลยล่ะค่ะ ทั้งๆที่..เราไม่ไดติดตามหรือคลั่งไคล้เขามากขนาดนั้นแท้ๆ
หลังจากนั้นเราก็เพิ่งได้มาทำความรู้จักผู้ชายคนนี้อย่างจริงจัง เรารู้สึกเหมือนหัวใจนี่แตกเป็นเสี่ยงๆเลยล่ะค่ะ พอเพิ่งมาตระหนักเดี๋ยวนั้นเองว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ดีมากแค่ไหน ทั้งงานการกุศลที่เขาทำ ทั้งที่เขาให้ความช่วยเหลือผู้คนมากมายและไม่ถือตัวหรือหยิ่งเลยแม้แต่น้อย เราได้จำถึงเรื่องราวที่มีคนนำมาแชร์ในพันทิป เล่าถึงชายคนหนึ่งที่เล่นดนตรีเปิดหมวกอยู่ข้างถนน ตีกลองที่ทำมาจากกระป๋องจำพวกนั้นน่ะค่ะ พอเวลาผ่านไปสักพัก ก็มีรถสปอร์ตคันหนึ่งมาจอดเทียบท่าพร้อมกับเจ้าของรถลงมาพร้อมยกกลองชุดมาให้และนั่งเล่นเป็นเพื่อนผู้ชายคนนั้นคือ Paul Walker
หรือเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ในขนะที่พอลกำลังเดินช้อปปิ้งอยู่ในร้านเพชรแห่งนึงในเมืองซานตา บาร์บาร่า เค้าได้เห็นผู้ชายคนนึงซึ่งเป็นทหารที่เพิ่งกลับจากหน้าที่ประจำการที่ประเทศอิรัก กำลังหาเลือกซื้อแหวนให้แฟนสาว เพราะจะขอแฟนสาวแต่งงาน ก่อนเดินทางไปประจำที่อิรักอีกครั้ง
แต่หนุ่มทหารคนนั้นชอบแหวนเพชรมูลค่าราว 3 แสนบาท เพราะมันดูสวยงามมาก แต่ทหารผู้นั้นไม่มีเงินพอที่จะจ่ายจึงต้องเดินออกจากร้านไปด้วยความเศร้า ทิ้งไว้เพียงแค่รายละเอียดส่วนตัว ที่อยู่ เบอร์โทร Paul เดินเข้าไปถามพนักงานว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากทราบเรื่องราว จึงได้บอกให้พนักงานใช้บัตรเค้ารูดซื้อแหวนวงนั้นให้ทหารหนุ่ม แลัวส่งไปให้ที่บ้านก่อนทหารหนุ่มจะเดินทางไปอิรัก
เมื่อทหารได้รับแหวนก็งงและรีบไปที่ร้านเพื่อไปยืนยันว่าเค้าไม่มีเงินซื้อ พนักงานจึงบอกไปว่า มีคนเทคแคร์ให้แล้วไม่ต้องกังวล ทหารจึงอยากทราบว่าใคร พนักงานไม่ยอมบอก จนทหารหนุ่มต้องติดต่อไปกับบริษัทเครดิตการ์ด จนทราบภายหลังต่อมาว่า คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการขอแต่งงานแฟนสาวของเค้า คือ “Paul Walker” คำแปลจากhttp://board.postjung.com/726468.html ที่มาจากข่าวนี้ x
เหตุการณ์แผ่นดิวไหวที่เฮติ มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นหัวหอกของมูลนิธิและลงพื้นที่ไปช่วยเหลือกับผู้ประสบภัยด้วยตัวเอง ผู้ชายคนนั้นคือ Paul Walker
เช่นเดียวกับเหตุการณ์พายุไต้ฝุ่นที่ฟิลิปปินส์
Paul เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิ Reach Out Worldwide ที่มีจุดประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆและเหตุบรรเทาทุกข์ค่ะ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่นี่ x
Paul เป็นคนที่ชอบรถและความเร็วค่ะ นี่อาจเป็นหนึ่งสาเหตุที่เขารับเล่นเรื่อง Fast & Furious นอกจากนี้ เขายังหาความรู้อื่นๆเรื่องรถและมักจะได้รับเชิญจากผู้ผลิตรถรายต่างๆให้ไปลองขับรถแข่งรุ่นใหม่ๆอยู่เสมอๆ ค่อนข้างจะมีคนออกมาแสดงความคิดในเชิงลบเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นมากทีเดียวค่ะ บอกว่าสมแล้วที่เรื่องเกิดขึ้น เพราะว่าPaul ชอบความเร็ว
ผู้คนก็ชอบด่วนสรุปเหตุการณ์นะคะ และการด่วนสรุปนั้นส่วนมากก็มักจะเป็นการด่วนสรุปในด้านร้ายเสมอ วันที่เกิดเหตุ คือ งานจัดประมูลรถแข่งเพื่อสมทบทุนสำหรับช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุไต้ฝุ่นที่ฟิลิปปินส์ค่ะ ข้อมูลจากระทู้พันทิปสรุปความเหตุการณ์จริงๆที่เกิดขึ้นไว้ว่า
อย่างที่เราทราบกันครับว่า เขาไปนั่งเป็นเพื่อนกับ Roger Rodas ซึ่งเป็นคนขับ…และก็เกิดเหตุน่าเศร้านี้ขึ้น…
Roger Rodas เป็นใคร?? เขาเป็นอดีตนักแข่งรถ ที่หันมาเปิดอู่ปรับแต่งรถยนต์ที่ชื่อว่า Always Evolving Performance Motors และ เป็นหุ้นส่วนของ Paul ในการทำองค์กรการกุศล…
โดยมี กูรู ด้าน motorsport รายหนึ่ง ที่ไปร่วมงานการกุศลของ Reach Out Worldwide องค์กรการกุศลที่ตัวของ Paul Walker และ Roger Rodas ได้ร่วมก่อตั้งขึ้นมานั้น…ได้ออกมาเปิดเผยถึงสาเหตุที่ทั้งคู่ต้องขับรถ Porsche Carrera GT สีแดงคันนั้น…
“พวกเขาต้องขับเจ้ารถคันนี้กลับไปที่อู่ (ซึ่งงานการกุศลครั้งนี้จัดที่ Santa Clarita, California ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันกับอู่ของ Roger Rodas)…เพราะว่ามันเกิดอาการเครื่องสะดุด…ใครสักคนซึ่งน่าจะเป็น Roger พูดขึ้นมาว่า “ทำไมมันถึงสะดุดวะเนี่ย?? ลองไปวิ่งแถวนี้ดูซักรอบละกัน” แล้ว Paul ก็เลยบอกว่า “ให้ชั้นไปกับแกด้วยเลยละกัน”…พวกเขาเลยเอารถออกไปเพราะว่ามันมีอะไรผิดปกติ…
Roger เขาไม่ใช่คนแบบที่จะเหยียบมิดในถนนแคบๆนะ…Paul ก็เช่นเดียวกัน…พวกเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องรถ และ ไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่นอน…พวกเขาเป็นเจ้าของธุรกิจ และ คนดัง ซึ่งมีความรับผิดชอบต่อสังคม…มันเลยน่าจะเป็นประมาณว่า “เฮ้ย!! รถแม่งเป็นเชียอะไรของมันวะเนี่ย?? มาดูกันดิ๊ว่าอะไรมันเสีย และ ลองเอาไปวิ่งดูกันซักรอบเหอะ”…
ผ่านไปซัก 5 นาที…มีรถ BMW E46 สีฟ้าขับเข้ามา และตะโกนว่า “พวกเขารถชน…พวกเขารถชน…เอาถังดับเพลิงไปกันเยอะๆเลย เราต้องช่วยเขา”…แล้วก็มีคนอัดกันไปประมาณ 3-4 คันรถ…ขับไปซักพักก็เห็นว่ามีรถชนอยู่ ซึ่งดูก็รู้เลยว่าเป็น Carrera GT คันนั้นแน่ๆ…เมื่อเราไปถึงที่จอดรถ ก็เห็นรถดับเพลิงมาแล้ว…ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก…
มีชิ้นส่วนของรถปลิวเข้ามายังที่จอดรถไปตกแถวๆต้นไม้…ป้ายหน้าร้านของตึกที่อยู่ข้างๆนั้น ซึ่งมันมี 3 ชั้น และ ทำด้วยกระจก…มองขึ้นไปก็เห็นว่า เศษซากการชนนี้มันปลิวขึ้นไปทำหน้าต่างชั้นบนสุดของตึกนี้แตกอีกด้วย…ผมคิดว่ามันต้องเป็นการชนที่แรงมากเลยทีเดียวแหละ…”
ที่น่าสลดใจกว่าก็คือ…อุบัติเหตุนี้อยู่ห่างจากอู่ของ Roger เพียงแค่ไม่ถึง 500 หลาเท่านั้น…
และ…ลูกชายวัย 8 ขวบของ Roger…พยายามที่จะเข้าไปช่วยชีวิตพ่อของเขาด้วยนะครับ…T-T
พยานที่เห็นเหตุการณ์บอกว่า…
“ผมวิ่งตามมาภายหลัง และก็มองหาลูกชายของ Roger…ผมเห็นเขาวิ่งข้ามรั้วไป…เขาพยายามที่จะไปช่วยพ่อของเขาออกมา…เพื่อนสนิทของ Paul เองก็พยายามที่จะเข้าไปช่วยพวกเขา ทั้งๆที่ไฟยังคงลุกท่วมอยู่…เขาพยายามที่จะช่วยเพื่อน…แต่ว่าเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้…”
credit: x
ภายในเวลาไม่กี่วินาที…เราก็เหลือแต่อดีตของผู้ชายคนนี้ให้จดจำ สิ่งที่ทำให้น่าเศร้ายิ่งกว่าเดิมอีกสำหรับเราาคือ ข่าวลือที่ว่าPaul ว่าแผนที่จะเกษียณตัวเองเพื่อให้ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกสาววัย 15 ที่เขาเป็นกึ่งๆ single dad ให้มากขึ้น…
เราเองก็ไม่ใช่แฟนตัวยงของ Fast & Furious หรอกนะคะ ไม่ได้ชอบการแข่งรถหรือหนัง action เป็นพิเศษอะไรนัก ดังนั้นเราจึงไม่ได้ตั้งหน้าตั้งรอ Fast & Furious 7 เลย อาจจะเรียกได้ว่าถึงแม้เราจะเศร้ากับโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นกับ Paul และครอบครัวเพื่อนฝูงของเรา ชีวิตเราก็ดำเนินต่อไปและเหตุการณ์ต่างๆก็ทำให้เราลืมเลือน Paul ไป
จนกระทั่งเราได้มาดู The Hobbit: The Battle of Five Armies และได้พบกับ Richard เนี่ยแหละค่ะ เราเข้าไปดูในโรง I-max เราลืมไปเสียสนิทเลยล่ะค่ะ ตอนนั้นว่า Fast & Furious มีกำหนดฉายเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงมีตัวอย่างหนังออกมาแล้วด้วย ความรู้สึก ณ ตอนนั้น ภาพที่ได้เห็น Paul Walker บนจอโรงหนังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้ยินข่าวการจากไปของเขาเป็นสิ่งที่ยากเกินบรรยาย ในหัวเรามีแต่คำว่า “Oh my god, Paul” 2 ปีให้หลัง… เราไม่อาจหยุดน้ำตาที่ไหลอาบหน้าเพียงเพราะได้เห็นผู้ชายคนนี้อีกครั้ง…ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นเขามีชีวิตอีกแล้ว…
นอกจากเรื่องนั้นแล้ว เราก็เพิ่งทราบไม่นานมานี้เองค่ะ ว่าคุณ Richard เองก็เกือบได้มีเอี่ยวกับ Paul ด้วย (Thanks to Severtus and her blog, here x! I didn’t know about it before)
ตอนประมาณนาทีที่ 2.19 น่ะค่ะ เป็นการสัมภาษณ์คนทั้งหลายตอนช่วงที่เกิดเหตุการณ์นั้นใหม่ๆ ช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงเดินสายโปรโมตของ The Hobbit พอดี Luke Evans ที่รับบทเป็นตัวร้ายใน Fast & Furious ภาคก่อนเลยอยู่ในละแวกเดียวกันกับ Richard จะเห็นได้เลยว่า Luke น้ำตาคลอสุดๆ Richard บอกว่าตัวเองกับPaul อยู่ในช่วงการเจรจาตกลงเพื่อเล่นหนังด้วยกันค่ะ แล้วก็ขอส่งกำลังใจไปให้ครอบครัวPaul ให้ผ่านพ้นช่วงเวลาร้ายๆนี้ได้ด้วยดี
ปัจจุบันเรายังไม่ได้ไปดู Fast & Furious 7 ในโรงหนังเลยค่ะ เรากลัวจะกลั้นน้ำตาไม่ได้ตอนเห็น Paul บนจอ แค่เราฟังเพลง See You again พร้อมดู MV เราก็ปล่อยโฮแล้วล่ะค่ะ เรารู้สึกว่าเนื้อเพลงมันเขียนได้กระทบความรู้สึกของคนที่เสียเพือนสนิทหรือครอบครัวไปจริง…
It’s been a long day without you my friend
And I’ll tell you all about it when I see you again
We’ve come a long way from where we began
Oh I’ll tell you all about it when I see you again
When I see you again
หรือจะเป็นตอนนี้ ที่ขอโทษเถอะ แต่ทำเรารู้สึกโหวงๆได้ทุกรอบที่ได้ยิน
So let the light guide your way hold every memory
As you go and every road you take will always lead you home
เป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน เมื่อไม่มีนายนะ เพื่อนยาก
เดี๋ยวจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ไว้เราเจอกันอีกครั้งก่อน
ผ่านพ้นอะไรมาด้วยกันตั้งเยอะ พอมองย้อนกลับไป
ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะเล่าทุกเรื่องให้ฟังเอง ตอนเราเจอกันอีกครั้ง
ยามเราพบกัน….
แม่ง ใครจะไปรู้ว่าจากทุกการเดินทาง
ที่ต้องลุ้น ทุกเรื่องดีๆที่เจอ
ว่าฉันจะได้มีโอกาสมายืนอยู่ตรงนี้
พูดคุยกับนายเรื่องอีกเส้นทางหนึ่ง
ก็รู้ว่าพวกเราชอบซิ่งถนนมีความสุขกันไปเรื่อย
แต่บางอย่างบอกฉันว่ะว่า เราทำมันไม่ได้ตลอด
ต้องลองเปลี่ยนมุมมอง หันมาดูภาพรวมบ้าง
ลงแรงไปก็ได้กำไรคืน ทีนี้ฉันเห็นว่านายสบายดีแล้วนะ
จะให้ไม่พูดเรื่องครอบครัวได้ไง ถ้าเราก็มีกันแค่ครอบครัวเนี่ย
นายเองก็คอยอยู่เคียงข้างฉันช่วยให้ผ่านพ้นทุกอุปสรรค
งั้นโปรดร่วมเดินทางครั้งสุดท้ายนี้กับฉันด้วยนะ
เวลาเดินช้าชิบ ในเมื่อนายไม่อยู่แล้วว่ะ เพื่อนยาก
เดี๋ยวไว้เล่าทุกอย่างให้ฟังนะ ตอนเราเจอกันครั้งหน้า
ผ่านพ้นอะไรมาด้วยกันตั้งเยอะ พอมองย้อนกลับไป
ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะเล่าทุกเรื่องให้ฟังเอง เมื่อเราเจอกันอีกครั้ง
ยามเราพบกัน….
มันเริ่มจากที่ตอนแรก นายแหกกฎสังคม
ทำตามที่ใจนายคิดและทำให้สิ่งเล็กๆ
กลายมาเป็นมิตรภาพซึ่งสุดท้ายก็
ก่อตัวเป็นสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันขาดสะบั้น
เกิดเป็นความรักที่ไม่มีวันจางหาย
เมื่อพวกพ้องย่อมมาก่อน และเกิดเป็นคำสัญญาใจ
ว่าพวกเราจะไม่มีวันทอดทิ้งกันไม่ว่าอะไรก็ตาม
เป็นสิ่งที่พวกเราตกลงร่วมกัน
แต่มันสุดถนนแล้ว อย่าลืมกันล่ะ ตอนฉันไม่อยู่แล้ว
จะให้ไม่พูดเรื่องครอบครัวได้ไง ถ้าเราก็มีกันอยูแค่นี้
นายเคียงข้างฉันช่วยให้ผ่านพ้นทุกอุปสรรค
ฉะนั้นโปรดร่วมเดินทางครั้งสุดท้ายนี้กับฉันด้วยนะ
ให้แสงส่องทางพาไปและขอให้ทุกความทรงจำตามติดนายไปทุกที่
อย่าลืมนะ ทุกเส้นถนนที่นายเลือกจะพานายกลับมาบ้านหาเราเสมอ
เข็มนาฬิกามันเดินช้าจังว่ะ พอไม่มีนายอยู่ด้วย
ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะเล่าทุกอย่างให้ฟังทั้งหมดเลย ตอนเราเจอกันอีกครั้งนะ
รู้ไหมจากจุดเริ่มต้นเนี่ย เราทั้งคู่ฝ่าฟันกันมามากแค่ไหน
ไว้ฉันเล่าให้นายฟัง ตอนเราเจอกันอีกครั้งนะ พวก
ตอนที่เราเจอกันอีกครั้ง
Paul เคยพูดเอาไว้ค่ะว่า “ถ้าวันหนึ่งความเร็วพรากผมไป ได้โปรดอย่าร้องไห้นะครับ เพราะผมจากไปพร้อมรอยยิ้ม” แต่กระนั้นเราก็ยังอดเศร้าไม่ได้อยู่ดีนะคะ ที่จะไม่มีวันได้เห็นผลงานที่ผู้ชายคนนี้จะทำเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อีกแล้ว ขอให้หลับสบายนะคะ Paul และขอบคุุณสำหรับทุกอย่างที่คุณทำลงไป
Paul Walker (1973 – 2013), may you rest in peace.