ป้ายกำกับ
ระทมยิ่งคือความฝันบารอนเฒ่า
แขกเหรื่อเล่าหลับตาเห็นเงาสลัว
ร่างมืดมัวของสิ่งที่คนกลัว เหล่าแม่มด ปีศาจ หนอนชอนไช
ตราตรึงให้ภาพฝันร้ายมิลบเลือน
– คีทส์
บุคคลที่ความทรงจำวัยเด็กรังให้เกิดเพียงความกลัวและความเศร้าสร้อยย่อมเป็นบุคคลผู้ไม่มีความสุข บุคคลที่เมื่อมองย้อนกลับไปยังโมงยามอันยาวนานที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในห้องทึบอันเวิ่งว้างที่มีเพียงแต่ผ้าแขวนผนังสีน้ำตาลทึม และหนังสือเก่า ๆ เรียงรายเป็นแถว หรือที่ได้แต่เฝ้ามองทิวไม้สูงตระหง่านที่มีแต่เถาวัลย์เกาะเกี่ยว มองไม่เห็นยอด ทิวไม้ที่กิ่งอันบิดเบี้ยวขยับลู่ไปตามลมอย่างเงียบ ๆ จากระยะไกลย่อมเป็นบุคคลที่น่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง นี่คือชะตากรรมที่ทวยเทพประทานให้แก่ข้าฯ ข้าฯ คนนี้ ผู้งวยงง ผิดหวัง ไร้ค่า ไร้ความหมาย แต่กระนั้นข้าฯ ก็พึงพอใจอย่างแปลกประหลาดกับสภาพที่เป็น ข้าฯ ยึดเหนี่ยวเอาความทรงจำจากกาลก่อนเหล่านั้นเป็นสรณะ ในยามที่จิตใจข้าฯ ร่ำร้องอยากติดต่อกับผู้อื่น
ข้าฯ ไม่ทราบว่าตนถือกำเนิดขึ้นมา ณ ที่ใด รู้เพียงแต่ว่ามันคือปราสาทที่เก่าแก่และน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก มีช่องทางเดินมืด ๆอยู่ทั่วทุกที่ ส่วนเพดานก็สูงเสียจนตาข้าฯ มองเห็นเพียงใยแมงมุมและเงามืด ก้อนหินตามทางเดินที่พุพังก็ดูเหมือนจะชื้นแฉะอยู่ตลอดเวลา มิหนำซ้ำกลิ่นสาบนั่นก็กำจายอยู่ทั่วทุกที่ กลิ่นมันราวกับเป็นกลิ่นของซากศพที่กองพะเนินทับกันมาแล้วหลายชั่วอายุ ข้างในปราสาทไม่มีแสงไฟ ดังนั้นบางครา ข้าฯ จึงจุดเทียนไขและนั่งมองมันเพื่อปลอบประโลมตนเอง ด้านนอกเองก็ไม่มีแสงตะวันสาดลงมาด้วยเช่นกัน ทิวไม้พวกนั้นสูงชะลูดขึ้นเหนือยอดหอคอยสูงสุดที่ข้าฯ จะขึ้นไปได้ มีเพียงหอคอยทมิฬแห่งเดียวเท่านั้นที่ตั้งตระหง่านเหนือทิวไม้ แทงทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่หอคอยนั้นทลายลงไปแล้วบางส่วน ไม่สามารถเดินขึ้นไปได้ นอกจากจะปีนกำแพงก้อนหินขึ้นไปทีละก้อน ๆ การกระทำที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
ข้าฯ คงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานหลายขวบปีอยู่ดอก แต่ข้าฯ ไม่มีสิ่งใดให้ใช้วัดเวลา ย่อมต้องมีสิ่งมีชีวิตคอยดูแลหาเลี้ยงข้าฯ อยู่แน่เทียว แต่กระนั้นข้าฯ ก็จดจำผู้ใดหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดไม่ได้เลย นอกจากตัวข้าเองกับเหล่าหนู ค้างคาวและแมงมุมที่ไร้เสียง ข้าฯ คิดว่าคนที่เลี้ยงดูข้าฯ ย่อมต้องแก่หง่อมแล้วแน่นอน เพราะเวลานึกถึงคนที่มีชีวิต ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวข้าฯ คือคนที่ดูคล้ายคลึงกันกับข้าฯ หากแต่บิดเบี้ยว เหี่ยวย่นและมีสภาพร่างกายทรุดโทรมไม่ต่างจากตัวปราสาท สำหรับข้าฯ แล้ว ชิ้นหรือโครงกระดูกที่นอนนิ่งอยู่ในสุสานหินใต้ฐานปราสาทไม่ได้วิปริตผิดธรรมชาติแต่อย่างใด ข้าฯ เชื่อมโยงพวกมันเข้ากับเหตุการณ์ในแต่ละวัน ข้าฯ คิดว่าพวกมันเป็นธรรมชาติเสียยิ่งกว่าภาพสีของสิ่งมีชีวิตที่ข้าฯ เปิดเจอตามหนังสือขึ้นรานั่นเสียอีก ความรู้ทุกอย่างที่มี ข้าฯเรียนรู้มาจากหนังสือเหล่านั้น ข้าฯ ไม่มีครูคอยกระตุ้นหรือช่วยชี้แนะ และข้าฯ จำไม่ได้เลยว่าเคยได้ยินเสียงมนุษย์ตลอดเวลาหลายปีที่อยู่ที่นั่น แม้กระทั่งเสียงของตัวข้าฯ เองก็ตาม แม้ข้าฯ จะอ่านถ้อยคำทั้งหลาย แต่ข้าฯ ก็ไม่เคยคิดจะเปล่งเสียงออกมาดัง ๆ รูปร่างของตัวข้าฯ ก็เช่นกัน ข้าฯ ไม่เคยคิดถึงมัน ปราสาทแห่งนี้ไม่มีกระจก และโดยสัญชาตญาณ ข้าฯ ก็ทึกทักเอาว่ารูปร่างของข้าฯ คงไม่ได้แตกต่างจากรูปวาดรูปเขียนของคนวัยหนุ่มสาวที่ข้าฯ เห็นในหนังสือเท่าใดนัก ข้าฯ เดาเอาว่าตนเองน่าจะยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เพราะข้าฯ มีความทรงจำน้อยมาก
บนพื้นดินข้างนอกนั่น เลยคูน้ำเหม็นเน่าที่อยู่รอบตัวปราสาท ใต้ร่มไม้ดำทะมึน คือที่ที่ข้าฯ มักจะทิ้งตัวนอนราบ เฝ้าฝันกลางวันเป็นชั่วโมง ๆ ถึงเรื่องที่ข้าฯ อ่านเจอในหนังสือ ข้าฯ มักจินตนาการภาพตนเองอยู่ท่ามกลางผู้คนที่กำลังรื่นเริงในโลกที่มีแสงตะวันอบอุ่น โลกที่อยู่เลยป่าไร้ที่สิ้นสุดนี้ไปอีก ข้าฯ เคยพยายามหนีไปให้ไกลจากป่าอยู่หนหนึ่ง แต่ยิ่งข้าฯ ก้าวขาห่างออกไปได้ไกลเท่าใด ข้าฯ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเงามืดปกคลุมรอบกายข้าฯ มากขึ้นเท่านั้น บรรยากาศรอบตัวข้าฯ อัดแน่นไปด้วยความกลัว เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าฯ จึงรีบลนลานกลับมายังปราสาท ก่อนข้าฯ จะหลงทางในเขาวงกตของความเงียบงันที่อยู่รอบกาย
วัฎจักรชีวิตข้าฯ ก็เป็นเช่นนี้ เฝ้าฝัน เฝ้ารอคอยในคืนสลัวที่ไร้จุดจบ ถึงแม้ว่าใจจริงแล้ว ข้าฯ ก็ไม่รู้ดอกว่าตนกำลังรอสิ่งใดอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อจำต้องทนกับสภาวะโดดเดี่ยวในความมืดมาก ๆ เข้า ข้าฯ ก็ยิ่งทวีความโหยหาแสงสว่าง ข้าฯ โหยหามันมากเสียจนไม่อาจข่มตาหลับได้อีก ข้าฯ วางมืออันหนักอึ้งแนบซากหอคอยทมิฬที่ยอดอยู่สูงเหนือป่า แทงทะลุขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน ในที่สุดข้าฯ ก็ตั้งมั่นว่าจะปีนหอคอยนั้นให้ได้ ข้าฯ อาจจะผลัดร่วงลงมา แต่อย่างไรเสีย ได้เห็นท้องฟ้าเพียงชั่วครู่ก่อนสิ้นชีพก็ยังดีกว่าต้องทนอยู่โดยไม่เคยเห็นมันเลยแม้แต่ครั้งเดียวมากนัก
ใต้แสงสลัวและอากาศที่ชื้นแฉะ ข้าฯ ก้าวเท้าเหยียบบันไดหินที่ผุกร่อนและมีสภาพทรุดโทรม จนกระทั่งถึงชั้นที่บันไดพังลงไปหมดสิ้น จากนั้นข้าฯ ก็อาศัยชะง่อนหินหรือร่องตามกำแพงเป็นที่ยึดให้ไต่ขึ้นไปด้านบน แท่งหินไร้บันไดทรงกระบอกนั้นชวนให้ขนลุกพองและเลวเป็นที่สุด มันมีสีดำสนิท เป็นซากปรักหักพังที่ถูกทอดทิ้ง และเปี่ยมไปด้วยอันตรายจากค้างคาวปีกไร้เสียงที่ตกใจกลัวข้าฯ แต่ที่ยิ่งน่าขนลุกพองและเลวยิ่งกว่านั้นคือ ที่ข้าฯ คืบหน้าไปได้อย่างเชื่องช้าอืดอาดเป็นที่สุด ไม่ว่าข้าฯ จะปีนป่ายไปได้สูงเพียงใด ความมืดที่รายล้อมตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดทอนลง นอกจากนี้ข้าฯ ก็ยังรู้สึกหนาวจับขั้วกระดูกเพราะภาพดินแสนคุ้นเคยเบื้องล่างคอยตามหลอกหลอน ตัวข้าฯ สั่นเทาเมื่อสงสัยว่าเหตุใดจึงยังไม่เจอแสงสว่างเสียที ข้าฯ คงก้มลงมองด้านล่างไปแล้วหากข้าฯ กล้า ณ วินาทีนั้น ใจข้าฯ นึกว่าอยู่ดี ๆ ความมืดก็เข้าปกคลุมรอบกาย ข้าฯ จึงพยายามเอื้อมมือข้างหนึ่งไปยังกรอบหน้าต่างบนกำแพง เพื่อชะโงกออกไปมองทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน พยายามประเมินว่าตัวเองปีนขึ้นมาได้เท่าใดแล้ว ทว่าไร้ผล