ป้ายกำกับ

, , ,

ระทมยิ่งคือความฝันบารอนเฒ่า

แขกเหรื่อเล่าหลับตาเห็นเงาสลัว

ร่างมืดมัวของสิ่งที่คนกลัว เหล่าแม่มด ปีศาจ หนอนชอนไช

ตราตรึงให้ภาพฝันร้ายมิลบเลือน

                                                                                                  – คีทส์

      บุคคลที่ความทรงจำวัยเด็กรังให้เกิดเพียงความกลัวและความเศร้าสร้อยย่อมเป็นบุคคลผู้ไม่มีความสุข บุคคลที่เมื่อมองย้อนกลับไปยังโมงยามอันยาวนานที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในห้องทึบอันเวิ่งว้างที่มีเพียงแต่ผ้าแขวนผนังสีน้ำตาลทึม และหนังสือเก่า ๆ เรียงรายเป็นแถว หรือที่ได้แต่เฝ้ามองทิวไม้สูงตระหง่านที่มีแต่เถาวัลย์เกาะเกี่ยว มองไม่เห็นยอด ทิวไม้ที่กิ่งอันบิดเบี้ยวขยับลู่ไปตามลมอย่างเงียบ ๆ จากระยะไกลย่อมเป็นบุคคลที่น่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง นี่คือชะตากรรมที่ทวยเทพประทานให้แก่ข้าฯ ข้าฯ คนนี้ ผู้งวยงง ผิดหวัง ไร้ค่า ไร้ความหมาย แต่กระนั้นข้าฯ ก็พึงพอใจอย่างแปลกประหลาดกับสภาพที่เป็น ข้าฯ ยึดเหนี่ยวเอาความทรงจำจากกาลก่อนเหล่านั้นเป็นสรณะ ในยามที่จิตใจข้าฯ ร่ำร้องอยากติดต่อกับผู้อื่น

        ข้าฯ ไม่ทราบว่าตนถือกำเนิดขึ้นมา ณ ที่ใด รู้เพียงแต่ว่ามันคือปราสาทที่เก่าแก่และน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก มีช่องทางเดินมืด ๆอยู่ทั่วทุกที่ ส่วนเพดานก็สูงเสียจนตาข้าฯ มองเห็นเพียงใยแมงมุมและเงามืด ก้อนหินตามทางเดินที่พุพังก็ดูเหมือนจะชื้นแฉะอยู่ตลอดเวลา มิหนำซ้ำกลิ่นสาบนั่นก็กำจายอยู่ทั่วทุกที่ กลิ่นมันราวกับเป็นกลิ่นของซากศพที่กองพะเนินทับกันมาแล้วหลายชั่วอายุ ข้างในปราสาทไม่มีแสงไฟ ดังนั้นบางครา ข้าฯ จึงจุดเทียนไขและนั่งมองมันเพื่อปลอบประโลมตนเอง ด้านนอกเองก็ไม่มีแสงตะวันสาดลงมาด้วยเช่นกัน ทิวไม้พวกนั้นสูงชะลูดขึ้นเหนือยอดหอคอยสูงสุดที่ข้าฯ จะขึ้นไปได้ มีเพียงหอคอยทมิฬแห่งเดียวเท่านั้นที่ตั้งตระหง่านเหนือทิวไม้ แทงทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่หอคอยนั้นทลายลงไปแล้วบางส่วน ไม่สามารถเดินขึ้นไปได้ นอกจากจะปีนกำแพงก้อนหินขึ้นไปทีละก้อน ๆ การกระทำที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

      ข้าฯ คงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานหลายขวบปีอยู่ดอก แต่ข้าฯ ไม่มีสิ่งใดให้ใช้วัดเวลา ย่อมต้องมีสิ่งมีชีวิตคอยดูแลหาเลี้ยงข้าฯ อยู่แน่เทียว แต่กระนั้นข้าฯ ก็จดจำผู้ใดหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดไม่ได้เลย นอกจากตัวข้าเองกับเหล่าหนู ค้างคาวและแมงมุมที่ไร้เสียง ข้าฯ คิดว่าคนที่เลี้ยงดูข้าฯ ย่อมต้องแก่หง่อมแล้วแน่นอน เพราะเวลานึกถึงคนที่มีชีวิต ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวข้าฯ คือคนที่ดูคล้ายคลึงกันกับข้าฯ หากแต่บิดเบี้ยว เหี่ยวย่นและมีสภาพร่างกายทรุดโทรมไม่ต่างจากตัวปราสาท สำหรับข้าฯ แล้ว ชิ้นหรือโครงกระดูกที่นอนนิ่งอยู่ในสุสานหินใต้ฐานปราสาทไม่ได้วิปริตผิดธรรมชาติแต่อย่างใด ข้าฯ เชื่อมโยงพวกมันเข้ากับเหตุการณ์ในแต่ละวัน ข้าฯ  คิดว่าพวกมันเป็นธรรมชาติเสียยิ่งกว่าภาพสีของสิ่งมีชีวิตที่ข้าฯ เปิดเจอตามหนังสือขึ้นรานั่นเสียอีก ความรู้ทุกอย่างที่มี ข้าฯเรียนรู้มาจากหนังสือเหล่านั้น ข้าฯ ไม่มีครูคอยกระตุ้นหรือช่วยชี้แนะ และข้าฯ จำไม่ได้เลยว่าเคยได้ยินเสียงมนุษย์ตลอดเวลาหลายปีที่อยู่ที่นั่น แม้กระทั่งเสียงของตัวข้าฯ เองก็ตาม แม้ข้าฯ จะอ่านถ้อยคำทั้งหลาย แต่ข้าฯ ก็ไม่เคยคิดจะเปล่งเสียงออกมาดัง ๆ รูปร่างของตัวข้าฯ ก็เช่นกัน ข้าฯ ไม่เคยคิดถึงมัน ปราสาทแห่งนี้ไม่มีกระจก และโดยสัญชาตญาณ ข้าฯ ก็ทึกทักเอาว่ารูปร่างของข้าฯ คงไม่ได้แตกต่างจากรูปวาดรูปเขียนของคนวัยหนุ่มสาวที่ข้าฯ เห็นในหนังสือเท่าใดนัก ข้าฯ เดาเอาว่าตนเองน่าจะยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เพราะข้าฯ มีความทรงจำน้อยมาก

      บนพื้นดินข้างนอกนั่น เลยคูน้ำเหม็นเน่าที่อยู่รอบตัวปราสาท ใต้ร่มไม้ดำทะมึน คือที่ที่ข้าฯ มักจะทิ้งตัวนอนราบ เฝ้าฝันกลางวันเป็นชั่วโมง ๆ ถึงเรื่องที่ข้าฯ อ่านเจอในหนังสือ ข้าฯ มักจินตนาการภาพตนเองอยู่ท่ามกลางผู้คนที่กำลังรื่นเริงในโลกที่มีแสงตะวันอบอุ่น โลกที่อยู่เลยป่าไร้ที่สิ้นสุดนี้ไปอีก  ข้าฯ เคยพยายามหนีไปให้ไกลจากป่าอยู่หนหนึ่ง แต่ยิ่งข้าฯ ก้าวขาห่างออกไปได้ไกลเท่าใด ข้าฯ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเงามืดปกคลุมรอบกายข้าฯ มากขึ้นเท่านั้น บรรยากาศรอบตัวข้าฯ อัดแน่นไปด้วยความกลัว เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าฯ จึงรีบลนลานกลับมายังปราสาท ก่อนข้าฯ จะหลงทางในเขาวงกตของความเงียบงันที่อยู่รอบกาย

       วัฎจักรชีวิตข้าฯ ก็เป็นเช่นนี้ เฝ้าฝัน เฝ้ารอคอยในคืนสลัวที่ไร้จุดจบ ถึงแม้ว่าใจจริงแล้ว ข้าฯ ก็ไม่รู้ดอกว่าตนกำลังรอสิ่งใดอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อจำต้องทนกับสภาวะโดดเดี่ยวในความมืดมาก ๆ เข้า ข้าฯ ก็ยิ่งทวีความโหยหาแสงสว่าง ข้าฯ โหยหามันมากเสียจนไม่อาจข่มตาหลับได้อีก ข้าฯ วางมืออันหนักอึ้งแนบซากหอคอยทมิฬที่ยอดอยู่สูงเหนือป่า แทงทะลุขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน ในที่สุดข้าฯ ก็ตั้งมั่นว่าจะปีนหอคอยนั้นให้ได้ ข้าฯ อาจจะผลัดร่วงลงมา แต่อย่างไรเสีย ได้เห็นท้องฟ้าเพียงชั่วครู่ก่อนสิ้นชีพก็ยังดีกว่าต้องทนอยู่โดยไม่เคยเห็นมันเลยแม้แต่ครั้งเดียวมากนัก

    ใต้แสงสลัวและอากาศที่ชื้นแฉะ ข้าฯ ก้าวเท้าเหยียบบันไดหินที่ผุกร่อนและมีสภาพทรุดโทรม จนกระทั่งถึงชั้นที่บันไดพังลงไปหมดสิ้น จากนั้นข้าฯ ก็อาศัยชะง่อนหินหรือร่องตามกำแพงเป็นที่ยึดให้ไต่ขึ้นไปด้านบน แท่งหินไร้บันไดทรงกระบอกนั้นชวนให้ขนลุกพองและเลวเป็นที่สุด มันมีสีดำสนิท เป็นซากปรักหักพังที่ถูกทอดทิ้ง และเปี่ยมไปด้วยอันตรายจากค้างคาวปีกไร้เสียงที่ตกใจกลัวข้าฯ แต่ที่ยิ่งน่าขนลุกพองและเลวยิ่งกว่านั้นคือ ที่ข้าฯ คืบหน้าไปได้อย่างเชื่องช้าอืดอาดเป็นที่สุด ไม่ว่าข้าฯ จะปีนป่ายไปได้สูงเพียงใด ความมืดที่รายล้อมตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดทอนลง นอกจากนี้ข้าฯ ก็ยังรู้สึกหนาวจับขั้วกระดูกเพราะภาพดินแสนคุ้นเคยเบื้องล่างคอยตามหลอกหลอน  ตัวข้าฯ สั่นเทาเมื่อสงสัยว่าเหตุใดจึงยังไม่เจอแสงสว่างเสียที ข้าฯ คงก้มลงมองด้านล่างไปแล้วหากข้าฯ กล้า ณ วินาทีนั้น ใจข้าฯ นึกว่าอยู่ดี ๆ ความมืดก็เข้าปกคลุมรอบกาย ข้าฯ จึงพยายามเอื้อมมือข้างหนึ่งไปยังกรอบหน้าต่างบนกำแพง เพื่อชะโงกออกไปมองทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน พยายามประเมินว่าตัวเองปีนขึ้นมาได้เท่าใดแล้ว ทว่าไร้ผล

  ทันใดนั้น หลังพยายามคลานอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ กระเสือกกระสนปีนป่ายตามชะง่อนหินมานานจนรู้สึกเหมือนแทบชั่วนิรันดร์ ข้าฯ ก็รู้สึกว่าหัวกระแทกเข้ากับของแข็งบางอย่าง ข้าฯ รู้ในทันทีว่าตนเองคงปีนขึ้นมาถึงดาดฟ้าแล้ว หรืออย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็นพื้นอะไรสักอย่าง ข้าฯ ยกมือข้างที่ไม่ได้ยึดเกาะสิ่งใดขึ้นลูบคลำเหนือหัวในความมืด มันทำมาจากหินและไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าฯ จึงต้องเขยิบตัววนรอบกำแพง ใช้มือเกาะตะปุ่มหรือร่องที่พอให้เกาะได้บนกำแพงลื่น ๆ นี้สุดชีวิต จนกระทั่งมือข้างที่ว่างของข้าฯ คลำเจอพื้นที่ที่ดันขึ้นไปได้ ข้าจึงไต่ขึ้นไปอีกคราหนึ่ง ใช้หัวออกแรงดันแผ่นหินหรือประตูขณะใช้มืออันสั่นเทาทั้งสองข้างดึงตัวเองขึ้นไป ข้างบนนั้นไม่มีแสงสว่าง และเมื่อมือข้าฯ เอื้อมแตะรอบตัว ข้าฯ ก็ได้รู้ว่า อย่างน้อย ณ ตอนนั้น ข้าฯ ก็หยุดปีนได้แล้ว แผ่นหินนั้นพาข้าฯ ขึ้นไปเจอประตูกลแฉก มันเชื่อมกับพื้นหินแข็ง ๆ ที่กว้างขวางยิ่งกว่าหอคอยด้านล่าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันย่อมเป็นพื้นอันโออ่าของโถงสังเกตการณ์ ข้าค่อย ๆ คลานผ่านรอยแฉกนั้นขึ้นไป พยายามรั้งไม่ให้แผ่นหินอันหนักอึ้งปิดลงไปสนิท ทว่าก็ไม่สำเร็จ ขณะที่นอนหอบบนพื้นหิน ข้าฯ ก็ได้ยินเสียงสะท้อนที่ฟังดูน่าขนลุก เมื่อมันปิดงับเข้าที่เดิม ข้าฯ หวังว่า หากจำเป็น ข้าฯ จะสามารถงัดให้มันเปิดขึ้นมาได้อีก

     บัดนี้ข้าฯ เชื่อว่าตนนั้นยืนอยู่บนยอดสูงเหนือกิ่งก้านต้นไม้พวกนั้นมากนัก ข้าฯ รวบรวมกำลังยันร่างตนเองขึ้นจากพื้น พยายามคลำหาหน้าต่างอย่างเงอะงะ ข้าฯ อยากมองท้องฟ้า ดวงจันทร์และดาราทั้งหลายที่เคยได้อ่านมานานเป็นคราแรก หากแต่ข้าฯ ก็ต้องผิดหวัง เมื่อข้าฯ เจอแต่เพียงทิวหินอ่อนที่มีหีบยาวขนาดพิกลเรียงรายเต็มไปหมด ข้าฯ หยุดคิดกับตัวเองมากขึ้น ๆ สงสัยว่าในห้องหับบนหอคอยที่เหมือนจะตัดขาดจากปราสาทเบื้องล่างมีความลับเก่าแก่อันใดซ่อนอยู่ จู่ ๆ มือข้าฯ ก็พลันคลำเจอบานประตูที่ห่วงหินมีรอยสลักแปลก ๆ เมื่อข้าฯ พยายามเปิด ก็พบว่าประตูบานดังกล่าวลั่นดาลไว้ หากเมื่อใช้แรงกระแทกเข้ามาก ๆ ข้าฯ ก็ทำลายมันได้สำเร็จ ข้าฯ ดึงประตูให้เปิดเข้ามาหาตัว ทันทีที่ทำเช่นนั้น ข้าฯ ก็ได้พบกับความปรีดาบริสุทธิ์ที่สุดที่ข้าเคยได้พบพาน แสงนวลที่ส่องผ่านช่องซี่เหล็กและฉายลงทางเดินเล็ก ๆ ที่ทอดลงมาจากประตูบานใหม่นั้นคือแสงจันทร์คืนเดือนเพ็ญ แสงที่ข้าฯ ไม่เคยเห็นมาก่อน เว้นแต่ในความฝันและภาพเรือนรางที่ข้าฯ มิกล้าเรียกขานว่าคือความทรงจำ

      ข้าฯ นึกว่าบัดนี้ตนเองขึ้นมาถึงยอดปราสาทแล้ว ข้าฯ จึงรีบเร่งฝีเท้าขึ้นไปหาประตูบานนั้น แต่จู่ ๆ เมฆก็เคลื่อนมาบดบังแสงจันทร์ทำให้ข้าฯ สะดุดล้ม ข้าฯ ค่อย ๆ กวาดมือคลำทางต่อไปในความมืด รอบกายข้าฯ ยังมืดสนิท ยามที่มือข้าฯ คลำเจอประตูซี่กรง ข้าฯ ค่อย ๆ ลองขยำประตูดู มันไม่ได้ลั่นดาลไว้ หากแต่ข้าฯ ยังไม่กล้าเปิดออกไปด้วยกลัวว่าตนจะเผลอร่วงจากความสูงที่สู้อุตส่าห์ปีนขึ้นมา แต่แล้วแสงจันทร์ก็ส่องสว่างให้เห็นอีกครา

    สิ่งที่ทำให้ข้าฯ ตกตะลึงพรึงเพริดมากที่สุดคือ ข้าฯ กลับได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อนและสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยเป็นอย่างที่สุด ประสบการณ์ที่ข้าฯ เคยพบพานมาไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจเทียบเคียงความพรั่นพรึงกับสิ่งที่ข้าเห็น ณ ตอนนี้ กับความน่าพิศวงที่แฝงอยู่ในภาพเบื้องหน้าข้าฯ แม้มันจะเป็นภาพที่เรียบง่ายเฉกเช่นเดียวกับที่ชวนให้สับสนก็ตาม ข้าฯ เห็นภาพดังต่อไปนี้ แทนที่จะให้เห็นเงาเลือนรางของทิวไม้จากความสูงเบื้องบน สิ่งที่แผ่ขยายออกไปอยู่เบื้องหน้าข้าฯ หลังบานซี่กรงคือพื้นดินที่รอบข้างต่างประดับประดาไปด้วยแผ่นหินและเสาหินอ่อน พื้นดินที่อยู่ภายใต้เงาโบสถ์หินโบราณ ซากของยอดโบสถ์ดังกล่าวทอประกายเรือนรางเมื่อต้องแสงจันทร์

   ในสภาพสะลืมสะลือ ข้าฯ เปิดประตูซี่กรงเหล็กและเดินโซเซไปตามถนนกรวดสีขาวที่แยกออกเป็นสองทาง แม้จิตใจข้าฯ จะงงงวยและอลหม่านยิ่งนัก แต่มันก็ยังโหยกระหายแสงสว่างอยู่ และไม่ว่าข้าฯ จะพานพบกับสิ่งที่น่าอัศจรรย์เพียงใดก็ไม่อาจชะลอความโหยกระหายนี้ได้ ข้าฯ ทั้งไม่รู้และไม่ใส่ใจว่าข้าฯ บ้าไปแล้ว กำลังฝันอยู่หรือเจอกับเวทมนตร์ แต่ข้าฯ ตั้งมั่นจะให้ตนได้เห็นสิ่งเลิศล้ำและประสบกับความรื่นเริงให้จงได้ ข้าฯ ไม่ทราบว่าตัวข้าฯ เองคือใครหรือสิ่งใด หรือสภาพรอบตัวข้าฯ เป็นเยี่ยงใด ถึงกระนั้นขณะที่ข้าฯ เดินโซซัดโซเซไปเรื่อย ๆ  ในหัวข้าฯ กลับสัมผัสได้ถึงความทรงจำอันหวาดกลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ มันทำให้ข้าฯ คืบหน้าไปไม่ได้เต็มที่เท่าใดนัก ข้าฯ ผ่านซุ้มประตูออกจากเขตที่มีแต่แผ่นและเสาหินอ่อนพวกนั้น เดินระหกระเหินสู่ที่โล่ง บางครา ข้าฯ ก็เดินตามถนนสายที่เห็นเป็นเส้นทางชัด บางครา ข้าฯ ก็เดินออกนอกทางเส้นทางเพื่อสำรวจทุ่งหญ้าที่มักมีซากปรักหักพังอันแสดงให้เห็นว่าที่นี่เคยมีถนนที่ทุกผู้ลืมเลือนไปแล้วด้วยความสนใจ ครั้งหนึ่ง ข้าฯ ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำสายเชี่ยวกรากที่กองหินที่มีตะไคร่น้ำเกาะบอกให้ข้าฯ ทราบว่า ณ ที่นั้นเคยมีสะพานข้ามตั้งอยู่

   น่าจะผ่านไปได้ประมาณสองชั่วโมงกระมังก่อนที่ข้าฯ จะถึงสถานที่ที่น่าจะเป็นจุดหมายปลายทาง ปราสาทน่าเกรงขามที่มีเถาวัลย์พันรอบภายในสวนที่มีต้นไม้ขึ้นดกหนา มันดูคุ้นตาข้าฯ เหลือเกิน แต่กระนั้นก็แปลกตาอย่างน่าพิศวง มีน้ำเต็มคูรอบปราสาท หอคอยที่โด่งดังบางส่วนก็ถูกรื้อออกไปแล้ว ขณะที่มีปีกปราสาทใหม่ ๆ ผุดขึ้นมาก่อความสับสนขึ้นในใจข้าฯ แต่สิ่งที่ทำให้ข้าฯ มองด้วยความสนใจและปรีดามากที่สุดคือหน้าต่างที่เปิดอยู่ ทำให้ข้าเห็นแสงวาบของไฟที่ส่องสว่างและได้ยินเสียงอันรื่นเริงยิ่ง ข้าสืบเท้าเข้าไปใกล้หน้าต่างบานหนึ่งก่อนชะเง้อดูข้างใน ข้าเห็นกลุ่มคนที่แต่งตัวกันอย่างพิกล ทุกคนดูมีความสุขและพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างออกรส เหมือนว่าตัวข้าฯ นั้นจะไม่เคยได้ยินมนุษย์พูดกันมาก่อนเลย ดังนั้นข้าฯ จึงได้แต่เดาว่าพวกเขาพูดสิ่งใดกัน สีหน้าของบางคนคล้ายจะชวนให้ข้าฯ นึกถึงความทรงจำจากเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ในขณะที่สีหน้าของบางคนแปลกตาสำหรับข้าฯ โดยสิ้นเชิง

    ข้าฯ ก้าวเท้าข้ามกรอบหน้าต่างเข้าไปในห้องที่มีแสงไฟสวยงาม ทันทีที่ข้าฯ เยื้องย่างเข้าไป ช่วงเวลาแห่งความหวังเสี้ยววินาทีหนึ่งก็แปรผันเป็นช่วงเวลาดำมืดที่สิ้นหวัง ช่วงเวลาที่ได้รับรู้ความจริง ฝันร้ายมาเยือนเร็วนัก เพราะเมื่อข้าฯ ก้าวเข้าไป ข้าฯ ก็เห็นเหตุชวนสยองมากที่สุดเหตุหนึ่งอย่างที่ข้าฯ ไม่เคยประสบมาก่อนในทันที ข้าฯ ยังไม่ทันก้าวขาพ้นธรณีประตูดี กลุ่มคนทั้งหมดนั้นก็เกิดความกลัวอย่างสุดขีดขึ้นมากะทันหัน ใบหน้าของทุกคนบิดเบี้ยว เสียงกรีดร้องชวนสั่นประสาทที่สุดหลุดออกมาจากคอของแทบทุกคน พวกเขาต่างพากันหนีอุตลุด ท่ามกลางบรรยากาศที่ตื่นตระหนกและอลหม่านนั้น หลาย ๆ คนก็พลันเป็นลมพับไป ปล่อยให้เพื่อนที่พยายามหนีกันอย่างหัวซุกหัวซุนต้องลำบากลากตัวไปด้วย มีหลายคนที่ยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา และพากันล้มหัวทิ่มขณะพยายามหลบหนีไปให้พ้น พวกเขาชนเครื่องเรือนหลายชิ้นล้มเอียงกระเท่เร่และต้องใช้ผนังห้องเป็นที่พยุงตัว ก่อนจะหนีหายไปข้างหลังประตูบานใดบานหนึ่ง

    เสียงกรีดร้องนั้นน่าตื่นตระหนกยิ่ง ขณะที่ข้าฯ ยืนงนงันอยู่เพียงผู้เดียวภายในห้องนั้น เงี่ยหูฟังเสียงสะท้อนของพวกเขาที่ค่อย ๆ เงียบหายไป ตัวข้าฯ สั่นเทาเมื่อคิดว่าอาจมีสิ่งใดคอยวนเวียนอยู่ใกล้ตัวข้าฯ ที่ข้าฯ มองไม่เห็น หากมองผาด ๆ ห้องนี้ก็เหมือนกลายเป็นห้องร้างไปเสียแล้ว แต่เมื่อข้าฯ ขยับตัวเข้าใกล้ห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง ข้าฯ ก็คิดว่าข้าฯ เห็นร่างใครสักคน มันเสมือนประหนึ่งว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวในห้องเล็ก ๆ ที่ดูคุ้นตาหลังซุ้มประตูสีทอง เมื่อข้าฯ สืบเท้าเข้าไปใกล้ซุ้มดังกล่าว ข้าฯ ก็เริ่มเห็นเค้าร่างนั้นชัดเจนขึ้น จากนั้น ข้าก็เปล่งเสียงออกมาจากลำคอเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย มันคือเสียงโหยหวนน่าพรั่นพรึงที่ทำให้ตัวข้าเองฯ ขนลุกพอง แทบไม่ต่างจากตัวการที่ทำให้ข้าฯ กรีดเสียงดังกล่าว ข้าฯ เห็นมันอย่างเต็มตา เต็มอิ่มเลยทีเดียว ภาพของอสุรกาย ความอัปลักษณ์ที่ไม่อาจเข้าใจ ไม่อาจอธิบายและมิอาจพูดถึง ภาพที่เพียงแค่ปรากฏตัวขึ้นก็ทำให้กลุ่มคนที่กำลังสังสรรค์กันอย่างสำราญใจกลายเป็นฝูงชนที่วิ่งหนีอย่างไม่ลืมหูลืมตา

      ข้าฯ ไม่อาจแม้แต่จะบอกใบ้ได้ว่ามันหน้าตาเป็นเช่นใด ด้วยมันคือภาพรวมของทุกอย่างที่ไม่พิสุทธิ์ พิกลพิการ ไม่เป็นที่ต้อนรับ วิปริตและน่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง มันคือภาพของความเก่าแก่ เปล่าเปลี่ยวและย่อยสลายเหมือนผีเน่า มันคือซากศพอันเน่าเฟะ เป็นภาพอันน่าสยดสยองที่โลกอันเปี่ยมด้วยเมตตาใบนี้ควรซ่อนไม่ให้มีผู้ใดได้มาพบเห็น พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบดีว่ามันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของโลกนี้ หรือไม่ได้เป็นของโลกนี้อีกต่อไปแล้ว แต่กระนั้นข้าฯ ก็พอเห็นเค้าร่างที่ดูคล้ายกับเป็นการล้อเลียนอันชั่วช้า เค้าของมนุษย์ในโครงร่างที่เนื้อถูกกินจนเห็นไปถึงกระดูก สภาพเลวทรามของอาภรณ์อันชื้นแฉะและหลุดเป็นชิ้น ๆ นั่นก็ยิ่งทำให้ข้าฯ รู้สึกหนาวจับขั้วกระดูกยิ่งกว่าเดิม

     ข้าฯ แทบจะเป็นอัมพาตด้วยความกลัวไปชั่วขณะ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับขยับร่างเพื่อพยายามหลบหนีไม่ได้ ข้าฯ ผงะไปข้างหลัง แต่นั่นก็ยังไม่ทำลายคำสาปที่อสุรกายไร้ชื่อ ไร้เสียงนั้นมีเหนือตัวข้าฯ ตาของข้าฯ ตกอยู่ใต้มนต์สะกดของดวงแก้วไร้แววที่ถลึงมองกลับมาด้วยความเกลียดชัง ข้าฯ ไม่อาจหลับตาลง ถึงแม้ต้องขอบคุณสรวงสวรรค์ที่ตาข้าฯ พร่ามัว ทำให้หลังจากตะตะลึงกับสารรูปของมันในตอนแรก ข้าฯ ก็เห็นภาพที่น่าสยดสยองนั้นไม่ชัดเจน ข้าฯ พยายามยกมือขึ้นบังภาพดังกล่าวจากคลองจักษุ แต่กระนั้น ร่างกายข้าฯ ก็ตื่นตระหนักเสียจนมือข้าฯ ไม่ยอมทำตามที่สั่งการ อย่างไรเสีย แค่นั้นก็พอจะทำให้ร่างกายข้าฯ เสียสมดุล ตัวข้าฯ ถลาไปข้างหน้าอีกหลายก้าวเพื่อกันไม่ให้ตัวเองล้ม เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าฯ ก็พลันรู้สึกตัวว่าอยู่ใกล้ซากศพเหม็นเน่านั่นมากเพียงใด ใจข้าฯ แทบจะจินตนาการว่าหูได้ยินเสียงลมหายใจฟืดฟาดของมัน ข้าฯ แทบจะวิปลาส แต่ข้าฯ กลับไม่มีแรงยกมือขึ้นมากันตัวเองจากอ้ายตัววิปริตที่อยู่ใกล้ชิดตัวข้าฯ เหลือเกิน ฉับพลัน เสี้ยววินาทีหายนะก็บังเกิดขึ้น มันแปรเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นฝันร้ายและขุมนรก เมื่อนิ้วข้าฯ เผลอไปแตะเข้ากับอุ้งมือเน่าเปื่อยที่เจ้าอสุรกายหลังซุ้มสีทองนั่นยื่นออกมาพอดี

     ตัวข้าฯ เองไม่ได้กรีดร้อง แต่เจ้าผีเน่าที่มาพร้อมกับความมืดนั้นกรีดร้องแทนข้าฯ ในวินาทีเดียวกันนั่นเอง ความทรงจำทั้งหลายต่างก็โถมบ่าเข้าใส่วิญญาณข้าฯ ข้าฯ รู้เรื่องทุกอย่างจนหมดสิ้นในภายวินาทีนั้น ข้าจดจำทุกอย่างนอกเหนือไปจากปราสาทอันน่ากลัวและทิวไม้เหล่านั้นได้แล้ว ข้าจำได้ว่าปราสาทบูรณะใหม่ที่ข้าฯ ยืนอยู่นั้นคือที่ใด และที่โหดเหี้ยมที่สุด ข้าจำได้แล้วว่า ตัวอัปลักษณ์ชั่วช้าที่ยืนอยู่เบื้องหน้าข้าฯ คืออะไร เมื่อข้าฯ หดนิ้วมือเปื้อนมลทินของตนมาจากมัน

   ณ วินาทีนั้น ข้าทั้งโล่งใจเช่นเดียวกับที่รู้สึกขมขื่น ความโล่งใจนั้นคือยาแห่งการหลงลืม ความหวาดกลัวอย่างเป็นที่สุดในวินาทีนั้นทำให้ข้าลืมเลือนไปว่าสิ่งใดที่ทำให้ข้าหวาดกลัว และความทรงจำนั้นก็เลือนหายไป เมื่อในหัวข้าฯ เกิดภาพเรือนลางขึ้นนับไม่ถ้วน ในห้วงฝันนั้น ข้าหลบหนีออกจากซากปรักหักพังที่ตามหลอกหลอน เร่งกวดฝีเท้าอย่างเงียบเชียบท่ามกลางแสงจันทร์ เมื่อข้าฯ กลับมาถึงบริเวณโบสถ์ที่มีหินอ่อนและเร่งรุดลงบันไดไป ข้าฯ ก็กลับพบว่าแผ่นหินนั้นไม่ขยับเขยื้อน แต่ข้าฯ ก็หาได้เสียใจไม่ ข้าฯ ชิงชังปราสาทโบราณกับทิวไม้พวกนั้นยิ่งนัก ตอนนี้ข้าฯ ใช้เวลาเล่นสนุกกับผีเน่าที่เป็นมิตรในยามกลางคืน วิ่งเล่นที่สุสานฝังศพเนปเฟน-คาในหุบเขาปิดฮาดอธที่ไม่มีผู้ใดทราบริมฝั่งแม่น้ำไนล์ ข้าฯ รู้แล้วว่าแสงสว่างไม่เหมาะกับข้าฯ นอกจากแสงนั้นคือแสงจันทร์ที่สาดส่องหลุมศพหินของเน็ธ เฉกเช่นเดียวกับความรื่นเริงอื่นนอกจากงานเลี้ยงฉลองไร้ชื่อของ  นิโตคริสใต้มหาพีระมิด แต่กระนั้น เมื่อมีเสรีและไร้ซึ่งห่วงใด ๆ ข้าก็เกือบอ้าแขนยินดีรับความขมขื่นที่ตนผิดแผกจากผู้อื่น

     ด้วยถึงแม้ยาแห่งการหลงลืมจะทำให้จิตใจข้าฯ สงบ แต่ข้าฯ ก็ยังรู้อยู่แก่ใจว่าข้าฯ นั้นเป็นคนนอกอยู่เสมอ เป็นคนแปลกหน้าในศตวรรษนี้และเป็นคนแปลกหน้าท่ามกลางหมู่คนที่ยังเป็นมนุษย์ นี่คือสิ่งที่ข้าฯ รับรู้นับตั้งแต่ที่ข้าฯ ยื่นนิ้วออกไปหาตัวอัปลักษณ์ใต้กรอบทองและแตะเข้ากับผืนผิวที่หนาและเย็นเยียบของบานกระจก